Support
transferfactorhealthy
089-694 9930
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
ทางเลือกใหม่!!!
ต้านมะเร็ง ด้วยวิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติได้ผล 437%

ระบบภูมิคุ้มกัน (The Immune System)

ภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทาน

คุณ เคยสงสัยหรือไม่ว่า รอบๆตัวเรามีเชื้อโรคเล็กๆมากมายที่ตาเรามองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และในแต่ละวันเราก็สัมผัสกับเชื้อโรคอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แต่เราก็มีชีวิตอยู่ได้ อย่างปกติสุข ทำไมเราจึงไม่เจ็บป่วย หรือหากจะเจ็บป่วยบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก การที่เราไม่เจ็บป่วยง่ายๆเพราะว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกัน(หรือภูมิต้านทาน)คอยปกป้องอยู่ ภูมิคุ้มกันเป็น กลไกการป้องกันตนเองตามธรรมชาติของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย และอาจเป็นโทษกับร่างกายเรา ระบบภูมิคุ้มกันก็จะออกมาต่อต้าน หรือทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ดังนั้นภูมิคุ้มกันจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์

  
เริ่มที่ภูมิต้านทาน(ภูมิคุ้มกัน)

ถึงเวลาที่เราควรจะศึกษาเรื่องภูมิชีวิต หรือ Immune System กันอย่างละเอียดเสียที
เราได้รับภูมิต้านทาน (ตอนนี้ขอเรียกว่าภูมิต้านทานก่อน เพราะเป็นภูมิแรก  เมื่อคุยกันถึงภูมิอื่น ๆ ครบถ้วนแล้ว  เราจึงจะเรียกว่าภูมิชีวิต) มาจากแม่ของเรา
เมื่อเริ่มดื่มนมแม่  นมแม่จะมีน้ำข้นเหลือง ๆ ออกมาก่อน  นั่นคือ Colostrum หรือน้ำนมเหลือง
     นั่นคือภูมิต้านทานเริ่มแรกซึ่งแม่จะถ่ายทอดมาสู่ลูกน้อย  ภูมิต้านทานแรกนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกน้อยป่วยง่าย อย่างเช่น ท้องเสีย ท้องเดิน ปวดท้อง
    
อาการต่าง ๆ เหล่านี้ ลูกที่กินนมแม่จะไม่มี  แต่ลูกที่กินนมวัวหรือนมผงจะมีอาการท้องเสียแต่แรก     แต่ Colostrum นี้จะอยู่ในลูกน้อยได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น ในระหว่างนี้ลูกจะเริ่มเจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ ระหว่างเจริญเติบโตลูกก็จะเริ่มสร้างภูมิต้านทานของตัวเอง  ร่างกายของลูกจะแข็งแรงมาก  ก็เพราะมี Colostrum เป็นพื้นฐานขยายภูมิต้านทานทั่วทั้งตัวลูกน้อยได้อย่างสมบูรณ์

     น้ำนม Colostrum นั้นประกอบไปด้วยโปรตีนประมาณ 20% และมีแร่ธาตุ คาร์โบไฮเดรต และไขมันอยู่ด้วย  ถ้าเทียบกับนมแม่สีขาวแล้ว  สารต่าง ๆ ในนม Colostrum มีน้อยกว่านมขาว  แต่น้ำนมเหลืองมีลักษณะเป็น Antibodies(แอนติบอดี้) มากที่สุด
     Antibodies คือกลุ่มโมเลกุลสร้างจากต่อมน้ำเหลือง  มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส และกลุ่มจุลชีวะต่าง ๆ นอกร่างกายซึ่งเข้ามาอยู่ในตัวเรา
     Antibodies เรียกกันอีกอย่างว่า Immuno Globulins   ตกลงในตอนนี้เราก็จะเห็นแล้วว่าภูมิต้านทานของเรามีตั้งแต่เราเกิด (ถ้ากินนมแม่) ภูมิต้านทานจากแม่ของเราอยู่ได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น

     แต่เมื่อหลัง 6 เดือนแล้ว  เด็กจะเริ่มสร้างภูมิต้านทานของตัวเองและภูมิต้านทานนี้ก็จะขยายมากขึ้นเมื่อโตขึ้นมาแล้ว ภูมิต้านทานขั้นต้นจึงหมายถึงระบบคุ้มกัน ป้องกัน และปราบปรามของร่างกาย  เพราะทุกขณะทุกวินาที  ร่างกายเราต้องผจญกับความเป็นความตาย  ซึ่งมาจากศัตรูซึ่งมองไม่เห็น ตัวไวรัสบีซึ่ง
มองด้วยไมโครสโคปธรรมดาก็มองไม่เห็น  หรือแบคทีเรียซึ่งแอบซ่อนอยู่ในผนังปอด  หรือที่คอยทำลายกลุ่มเนื้อต่าง ๆ ของหัวใจศัตรูเหล่านี้มองไม่เห็นตัว  ถ้าไม่มีภูมิต้านทาน  เราก็คงเสียชีวิตไปอย่างเงียบ ๆ และรวดเร็ว  แต่ถ้าเรามีภูมิต้านทาน  ก็จะจัดการปราบปรามเชื้อโรคและป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกด้วยวิธีการและ กระบวนการซึ่งน่าพิศวงอย่างยิ่ง

สมมติว่าคุณป่วยเป็นโรคตับอักเสบไวรัสบี  ที่น่าอัศจรรย์ก่อนเพื่อนก็คือ  ไวรัสบีมันก็คือเส้นกลมของ DNA ห่อหุ้มไว้ด้วยโปรตีน  ถ้าจะมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดาก็จะมองไม่เห็น  นอกจากจะใช้มองด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน     ทั้ง ๆ ที่ตัวเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดาเช่นนี้แหละ แต่ความร้าย แรงของมันมีเหลือหลาย  มันจะเข้าไปถึงกลุ่มเนื้อเยื่อตับของคุณมันจะแทงตัวของมันเข้าไปในเซลล์ของตับ  และด้วยความสามารถเหมือนขบถในประเทศ  มันสามารถขโมยพลังจากเซลล์ของตับสร้างตัวมันใหม่เพิ่มขึ้นอีก  ในเซลล์ของตับเพียงเซลล์เดียว  ไวรัสใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้เป็นพัน ๆ ตัว และไวรัสพัน ๆ ตัวจากเซลล์ของตับเซลล์เดียวนี้  มันก็จะระเบิดตัวของมันออกจากเซลล์เดียวของตับ  กระจายต่อไปที่เซลล์ตัวอื่น ๆ และจะสร้างไวรัสใหม่ขึ้นมาอีกพัน ๆ ตัว แล้วก็จะระเบิดตัวต่อไปอีก  เข้าไปในเซลล์ใหม่ของตับอีก  ชั่วประเดี๋ยวเดียวตับทั้งตับก็เต็มไปด้วยไวรัสบี

การระเบิดตัวหรือการกระจายของไวรัสตับนี้  ถ้าหากไม่มีใครมายุ่งกับมัน  มันก็จะกระจายของมันไปเรื่อย ๆ หมดทั้งตับ ชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมง  ตับของคุณทำงานไม่ได้  ตับก็วาย คุณก็ตาย ตายง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากอีก แต่ว่ามันก็ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก  เพราะถ้าง่ายอย่างนั้นจริง ป่านนี้มนุษย์ในโลก 6 พันล้านคน  จะไม่มีใครมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว

เพราะอะไรเราจึงไม่ตายกันหมด  ก็เพราะเรามีระบบภูมิต้านทานอยู่ในตัวเรานั่นเอง
ระบบภูมิต้านทานนี้เมื่อสมัยแรก ๆ เรารู้จักกันแต่ว่ามันคือ "เลือดขาว" (Leukocyte)
 ในระบบโลหิตของเราซึ่งไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนทุกเซลล์ของร่างกายในผิวหนัง  ในกล้ามเนื้อ  อวัยวะภายในทุกส่วนจะมีเลือดขาวอยู่ไปทั่ว  หน้าที่ของเลือดขาวก็ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ ป้องกัน ปราบปราม และควบคุม ไม่ให้ผู้ร้ายที่แอบเข้ามาในร่างกายมีชีวิตอยู่ มันจะถือว่าเป็นศัตรู และเมื่อเป็นศัตรูแล้วก็ต้องฆ่า ฆ่า ฆ่า ไม่
ให้เหลือ

ในเลือดขาวนี้จะมีหลายชนิดและหลายกลุ่ม กลุ่มแรกเราเรียกว่า Phagocyte ซึ่งแปลว่าตัว "กินเซลล์" (Cell Eater)    วิธีที่ตัว "กินเซลล์" จะทำลายไวรัสก็คือ  มันต้องไปล้อมกรอบเจ้าไวรัสบีไว้ก่อน  แล้วก็จะรุมกันเข้าไปเขมือบหรือกินไวรัสเหล่านั้น แกอยากระเบิด อยากกระจายแล้วก็เกิดใหม่ ก็เกิดไป ฉันก็จะตามไปล้อมแกไว้  แล้วก็เขมือบแกให้สิ้น นี่คือ Phagocyte หรือตำรวจกองปราบ   ตอนนี้อยู่ระหว่างใครดีใครได้ระหว่าง Phagocyte และไวรัสบี ผลของมันมักจะปรากฎว่าคุณ Phagocyte พ่ายแพ้ เพราะไวรัสบีมันขยายตัวเร็วเหลือเกิน
 
เจ้า Phagocyte ก็ต้องไปเรียก T Lymphocytes มาช่วย เจ้า T Lymphocytes หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "T Cell-ทีเซลล์" เหมือนนายเหนือหัวของเจ้า Phagocyte มันเป็นกองปราบซึ่งมีสายลับและสายสืบอยู่ด้วย  สายลับนี้จะบอกว่าเจ้าไวรัสบีนี้คือใคร เป็นใครมาจากไหน เมื่อรู้แล้วก็จัดกองปราบเฉพาะมาจัดการกับเจ้าไวรัสบีต่อไป  ถ้ายังเพลี่ยงพล้ำอยู่อีก เจ้า T Cell ตัวนี้ก็ยังมีหน่วยหนุน หรือ "T Cell Helper" เข้ามาช่วยอีก
 
หน่วยหนุนเข้ามาช่วยก็ยังเพลี่ยงพล้ำอยู่ ทีนี้ก็ต้องเรียกตำรวจทุกสถานีเข้ามารวมกัน ตำรวจทุกสถานีนี้ก็คือ B Lymphocyte หรือ "B Cell-บีเซลล์"   เจ้า B Cell นี้สามารถสร้างแอนติบอดี (Antibodies) ขึ้นมาได้ เจ้าตัวแอนติบอดี้จะเรียกว่าตำรวจเฉพาะกิจก็คงได้  เพราะฉะนั้นตำรวจเฉพาะกิจกลุ่มนี้ก็จะเฉพาะกิจเพื่อฆ่าเจ้าไวรัสบีอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เกี่ยว เมื่อได้รวมกลุ่มกันอย่างนี้  เจ้าไวรัสบีจึงจะอ่อนตัวจนยอมสยบลงได้  ตกลงเราก็จะเห็นว่าการทำงานของเลือดขาวนั้นเป็นขั้นตอน เป็นระบบ  ตอนต้นเจ้า Phagocyte คงจะเหมือนกับสายตรวจหรือหน่วยลาดตระเวน  พอเจอผู้ร้ายก็เข้าล้อมและจัดการเขมือบก่อน
พอไม่สำเร็จก็ต้องเรียกกองปราบยังไม่สำเร็จอีก  กองปราบก็ต้องเรียกกองเสริมและสายสืบมาช่วย  ต่อจากนั้นก็ต้องเรียกกองปราบเฉพาะกิจ  คือแอนติบอดี้เข้ามา

เจ้าแอนติบอดี้นี้กล่าวกันว่ามันจะอยู่ในร่างกายเราได้นาน ๆ  นานจนตลอดชีวิตก็มี และแอนติบอดี้มีหน้าที่เฉพาะกิจ  ทำงานปราบปรามผู้ร้ายเฉพาะกลุ่มได้กลุ่มเดียว ปราบปรามผู้ร้ายกลุ่มอื่นไม่ได้  อย่างเช่นตั้งหน่วยปราบยาเสพติดขึ้นมา  หน่วยปราบนั้นก็ปราบแต่ยาเสพติดเท่านั้น  จะไปดับเพลิงหรือเป็นตำรวจจราจรย่อมไม่ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก
เรื่องของภูมิชีวิตหน้า 1-5

ดร.สาทิส อินทรกำแหง

 

ระบบภูมิคุ้มกัน  (Immune System) คือ เครือข่ายอันสลับซับซ้อนของเซลล์ภายในร่างกาย ที่พยายามต่อต้าน และทำลาย สิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น เชื้อโรค ไวรัส การอักเสบ การกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งอย่างไม่ลดละ ในการรักษาไว้ซึ่งสุขภาพและความปลอดภัยของร่างกาย

 
อวัยวะของระบบภูมิคุ้มกัน
   ต่อมทอนซิล,ต่อมอะดีนอยด์
   ต่อมไทมัส
   ตับ
   หลอดน้ำเหลือง
  ไขกระดูก
   ม้าม
   เพเยอร์ แพ็ตซ์
   ต่อมน้ำเหลืองขนาดเล็ก
ปัญหาของภูมิคุ้มกัน ที่พบได้บ่อย
·         • โรคภูมิแพ้ บางคนมีความไวในการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง ส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้ เพราะไวต่อสิ่งกระตุ้น (เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ เชื้อรา) มากเกินไป เช่น เจอเกสรดอกไม้ คนแรกรู้สึกหอม ไม่เป็นอะไร แต่อีกคน จามแล้ว จามอีก เพราะมีภูมิคุ้มกันไวต่อสิ่งกระตุ้นบางชนิดมากเกินไป
·         • ออโต้อิมมูน(Autoimmune) เป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันของเราเองทำลายเซลล์ของตัวเอง เรียกง่ายๆว่า โรคภูมิแพ้ตัวเอง ปกติภูมิคุ้มกันจะต่อต้าน และทำลายสิ่งแปลกปลอม แต่คนเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง ระบบภูมิคุ้มกันจะจำเซลล์ตัวเองไม่ได้ จึงทำลายตัวเอง ทำให้มีผลต่ออวัยวะหลายระบบ เช่น โรค เอสแอลอี(SLE) เป็นต้น
·         • โรคมะเร็ง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก ในคนปกติทั่วไป เมื่อมีเซลล์ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเริ่มกลายพันธุ์ เพื่อก่อตัวเป็นมะเร็ง ระบบภูมิคุ้มกัน จะทำหน้าที่ขจัดเซลล์ที่กลายพันธุ์นั้นทิ้งเสีย แต่ในคนที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือผู้สูงอายุ เซลล์ที่กลายพันธุ์ไม่ถูกระบบภูมิคุ้มกันตรวจพบและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ ก็จะกลายเป็นมะเร็งได้



 

กลไกการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
เรียกรวมกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน(IMMUNE SYSTEM) แบ่งการทำงานเป็น 2 ระบบคือ อาศัยเซลล์โดยตรง และอาศัยเซลล์โดยอ้อม ซึ่งทำงานสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อต่อต้านผู้บุกรุก ไม่ให้รุกรานร่างกายได้
·  ภูมิคุ้มกันที่อาศัยเซลล์โดยตรงคือ เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และเม็ดเลือดขาวไปพบเข้า ก็จะจับกินและทำลาย
·  ภูมิคุ้มกันที่อาศัยเซลล์โดยอ้อมคือ เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามา เซลล์เม็ดเลือดขาวจะสร้างสารเคมีเพื่อต่อต้านเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ที่เรียกว่า แอนติบอดี้(Antibody)แอนติบอดี้จะไปจับกับสิ่งแปลกปลอม ทำให้สิ่งแปลกปลอมไม่สามารถแผลงฤทธิ์กับร่างกายได้ การสร้างแอนติบอดี้ ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันนั้น จะมีความจำเพาะเจาะจงกับเชื้อโรคแต่ละชนิด และแอนติบอดี้ แต่ละชนิดจะมีอายุไม่เท่ากัน บางชนิดก็อยู่ได้ไม่นาน บางชนิดก็อยู่ได้หลายปี บางชนิดก็อยู่ได้ตลอดชีวิต เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน ที่คุ้มกันได้ตลอดชีวิต
ในเมื่อร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทำไมบางครั้งเราจึงเจ็บป่วยได้อีก คุณเคยสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมบางคนจึงแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่บางคนอ่อนแอไม่สบายบ่อย อะไรเป็นปัจจัยให้แต่ละคนมีความต้านทานโรคต่างกัน
ความเจ็บป่วยหรือความต้านทานโรคที่ต่างกันขึ้นอยู่กับหลักๆ 2 ปัจจัย คือ
1.    กรรมพันธุ์ ปัจจัยนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละคนมีระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับการถ่ายทอด จากพ่อแม่ หากพ่อแม่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีลูกย่อมมีภูมิคุ้มกันที่ดีตามไปด้วย หากพ่อหรือแม่มีภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่อง ลูกก็อาจได้รับถ่ายทอดในสิ่งที่บกพร่องนั้นๆได้เช่นกัน แต่โดยทั่วๆไป ภูมิคุ้มกันก็จะมีความแข็งแรงได้ในมาตรฐานระดับหนึ่ง
2.    คนที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอไม่ค่อยออกกำลังกาย ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ขาดการดูแลสุขภาพ เมื่อได้รับเชื้อโรค จึงเกิดความเจ็บป่วยขึ้น และในโอกาสการเจ็บป่วยก็ย่อมมีมากกว่าคนที่หมั่นดูแลสุขภาพเช่นกัน
นอกจากการไม่ดุแลสุขภาพแล้ว การติดสารเสพติด ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็มีส่วนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้ด้วย ถึงแม้แต่ละคนจะมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็สามารถมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้เช่นกัน
 
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันมีหลักง่ายๆดังนี้
1.    อาหาร ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ ในกรณีที่ทำไม่ได้ การเลือกทานผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ อีกสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ การบริโภค น้ำสะอาดอย่างเพียงพอในแต่ละวัน
2.    ออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวหรือภูมิคุ้มกัน วิ่งเข้าสู่ในเนื้อเยื่อส่วนต่างๆได้ง่าย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามา ก็จะเข้าไปจัดการได้อย่างรวดเร็ว
3.    นอนหลับพักผ่อน อย่างเพียงพอในแต่ละคืน ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ(ประมาณ 3 ทุ่ม) และตื่นนอนตั้งแต่เช้า ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอ สุขภาพของเรา ก็จะดีแน่นอน
4.    ทำจิตใจให้เบิกบาน จิตใจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลั่งสารเอ็นโดฟิน หรือสารแห่งความสุขในร่างกาย สารชนิดนี้ พอหลั่งออกมาทำให้ระบบการทำงานของเซลล์ต่างๆดีขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากจิตใจห่อเหี่ยว เศร้าเป็นทุกข์ ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความทุกข์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานไม่ดี แย่ลง ร่างกายก็อาจเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น สารเอ็นโดฟินจะหลั่งเมื่อจิตใจมีความสุข สงบ เบิกบาน ฉะนั้นควรคิดแต่สิ่งดีๆ คิดช่วยเหลือผู้อื่น คิดในทางบวก ก็เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่นกัน
นอกจากนี้ หมั่นขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา เป็นประจำทุกเช้า ทุกวันเพื่อร่างกายจะได้กำจัดของเสียออก ไม่หมักหมมในร่างกายเรา รวมถึงพยายามอยู่ในที่ๆอากาศสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อร่างกายเราจะได้รับออกซิเจน ที่มากพอที่จะนำไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย เมื่อเซลล์ของร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี และอากาศที่สะอาดเพียงพอ แน่นอนว่าร่างกายเราก็จะมีสุขภาพที่ดี ระบบภูมิคุ้มกันก็จะดี ดังคำกล่าวที่ว่า ถ้าเราใส่ใจระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันก็จะใส่ใจเรา

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ กับการดูแลสุขภาพ  
ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ช่วยคุณจากโรคร้ายได้อย่างไร
  ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ช่วยเร่งความเร็วในการทำความรู้จักกับเชื้อโรค
คุณรู้ไหมว่า ช่วงเวลาที่ใช้ในการบ่งชี้ชนิดของเชื้อโรคผู้บุกรุก คือช่วงเวลาที่เราเริ่มมีอาการแย่ลงจากการติดเชื้อแล้ว จึงเป็นที่มาของเหตุผลที่ว่า ยิ่งทำความรู้จักผู้บุกรุกได้เร็วเท่าไหร่ อาการเจ็บป่วยก็ยิ่งสั้นลงเท่านั้น การตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ต้องใช้เวลาถึง 10-14 วัน ที่จะพัฒนาอย่างสมบูรณ์ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น คุณจะรู้สึกได้ถึงผลกระทบของการ “แสดงการต่อสู้” กับการติดเชื้อ 
ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ สามารถ “เหนี่ยวนำ” หรือเร่งอัตราช่วงเวลาแห่งการทำความรู้จักนั้นให้เร็วขึ้นได้  วารสารการบำบัดทางชีวะภาพ (Biotherapy) รายงานว่า ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ สามารถกระตุ้นการตอบสนองให้เกิดขึ้นภายในเวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมง จึงเป็นอันชัดเจนว่าถ้าเราเพิ่ม ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ เข้าไปในคลังสรรพาวุธภูมิคุ้มกันของเรา การส่งผ่านข้อมูลจากเซลล์สู่เซลล์ก็จะเพิ่มขึ้น คุณจะเห็นได้ว่า ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะทำงานสอนเซลล์ภูมิคุ้มกันใหม่ๆเกี่ยวกับภัยคุกคามเก่าๆที่ผ่านมา ผลก็คือ เราสามารถพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีศักยภาพที่จะต่อสู้กับการจู่โจมทำร้ายร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง  ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะกระตุ้นความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของคุณให้ทำความรู้จักและตอบโต้กับสารแอนติเจนต่างๆที่เฉพาะเจาะจงได้ ทั้งยังจัดเป็นสารธรรมชาติ และทำงานด้วยการ “สอน” ระบบภูมิคุ้มกันของคุณให้สามารถแยกสารติดเชื้อต่างๆที่โจมตีร่างกายคุณ
ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ช่วยย่นระยะเวลาการตอบสนองของภูมิคุ้มกันให้สั้นขึ้น
การทำงานอันโดดเด่นของ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ช่วยให้มีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ทำแบบนั้นได้อย่างไร ?
สิ่งต่อไปนี้ จะแสดงภาพให้เห็นว่า ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ช่วยเร่งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างไร ?
1.  ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะดาวน์โหลดข้อมูลพิเศษเก็บเข้าสู่ธนาคารความทรงจำของภูมิคุ้มกันของมนุษย์
2.  ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะสร้างพิมพ์เขียวให้กับเซลล์ ทีลิมโฟไซท์ (T –Lymphocyte cell)เราให้เดินรอยตาม เพื่อสร้างการจู่โจมต่อสู้ที่คล่องแคล่วว่องไว เป็นการย่นย่อระยะเวลาที่จะต่อสู้กับการติดเชื้อของพวกมันให้สั้นลง
3.  ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะทำเครื่องหมายให้ภูมิคุ้มกันนำทางให้ ทีเซลล์ (T-cell) มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อผู้บุกรุกได้เร็วขึ้น
4.  ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ จะช่วยขยายคลังเก็บข้อมูล แอนตี้บอดี้ ของระบบภูมิคุ้มกันให้กว้างขวางขึ้น เพื่อช่วยขยายความทรงจำของภูมิคุ้มกัน ให้จดจำและจัดการกับการติดเชื้อในอนาคตได้ดีขึ้น


 

จากกราฟข้างบนแสดงให้เห็นว่า เมื่อร่างกายมีการติดเชื้อไวรัส จะส่งสัญญาณให้ระบบภูมิคุ้มกันหลั่งสาร Cytokine ออกมากระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันตื่นตัว ซึ่งเซลล์แรกที่จะตอบโต้เชื้อไวรัสคือ NK Cell (Natural Killer Cell หรือเซลล์เพชฌฆาต) ซึ่งในภาวะปกติ NK Cell จะเริ่มกำจัดเชื้อไวรัสหลังจากมีการติดเชื้อ 3 วันครึ่ง และหลังจาก 3-5วัน T-Cell และระบบแอนติบอดี้จะเริ่มทำงานและกำจัดเชื้อไวรัสให้สิ้นซาก

แต่ถ้าร่างกายได้รับ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ (Transfer Factor)  NK Cell จะเริ่มกำจัดเชื้อไวรัสหลังจากมีการติดเชื้อเพียงแค่ 1 วันครึ่ง ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น ลดการเจ็บป่วยและฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็ว
เซลล์เพชฌฆาต (Natural Killer Cells)
 
จากการวิจัยล่าสุด ได้เปิดเผยลักษณะเฉพาะ ของเซลล์เพชฌฆาต (Natural Killer cells หรือ NK cells)  NK cells มีความสำคัญยิ่งยวด ในการทำงานของทัพหน้า ในระบบภูมิคุ้มกัน ในปัจจุบันนักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ ยอมรับว่า NK cells เกิดขึ้นพร้อมความสามารถ ในการทำงานได้อย่างเหมาะสม
นิตยสารฉบับเดือนกุมภาพันธ์ของ The Journal of Immunology มีรายงานการวิจัยถึงสองฉบับ นำโดย ดร. Christian Munz, Ph.D. และ ดร. Guido Ferlazzo, Ph.D. จากมหาวิทยาลัย Rockefeller University โดยรายงานดังกล่าว มีการค้นพบว่า NK cells จำเป็นต้องถูกกระตุ้น และเคลื่อนตัวโดยเซลล์อื่นๆ เพื่อค้นหา และทำการทำลายเชื้อโรค และยังตั้งสมมุติฐานว่า การทำงานของ NK cells สามารถ "ปรับปรุง (tailored)" หรือ "ปรับเป้าหมาย (targeted)" เพื่อให้ภูมิคุ้มกัน ทำงานอย่างสมบูรณ์

ภารกิจของ NK Cell
นักวิจัยทั่วโลกเริ่มค้นพบ อานุภาพของ NK cells ในการกำจัดเซลล์ติดเชื้อ และเซลล์เนื้อร้าย เคยมีการใช้สารธรรมชาติ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ของภูมิคุ้มกันร่างกาย รวมถึงมีงานวิจัยมากมาย แสดงให้เห็นว่า NK cells สามารถควบคุมและจำกัดการเติบโต ของเซลล์มะเร็งหลากหลายชนิด รวมถึงเซลล์ที่มีการติดเชื้อทั่วไป
 NK cells เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งของเม็ดเลือดขาว Lymphocyte โดย NK cells มีลักษณะเฉพาะตน สามารถปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ หรือทำความรู้จักสิ่งแปลกปลอมก่อน ไม่เหมือน T-Lymphocytes และ B-Lymphocytes ที่ต้องเรียนรู้และทำความรู้จักก่อน ถึงจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ โดยลักษณะเฉพาะดังกล่าวทำให้ NK cells มีความสามารถ ระบุเซลล์แปลกปลอมได้ด้วยตัวเอง สถานะสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นเช่น การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะโดยมากมักถูก NK cells ปฏิเสธด้วยการระบุเป็นสิ่งแปลกปลอม ดังนั้นการเปลี่ยนอวัยวะจำเป็นต้องทดสอบ ความเข้ากันได้ รวมถึงเมื่อเซลล์ใดเซลล์หนึ่ง เปลี่ยนรูปเป็นเซลล์เนื้อร้าย หรือเซลล์มีการติดเชื้อ เซลล์ดังกล่าวจะสูญเสียความเป็นร่างกาย และแสดงสถานะเป็นเซลล์แปลกปลอม  NK cells ตรวจตราเซลล์ร่างกายตลอดเวลา ด้วยการสัมผัสที่เรียกว่าการจูบ "NK Kiss" หาก NK cells พบว่าเซลล์ดังกล่าวเป็นสิ่งแปลกปลอม เช่นเซลล์เนื้อร้ายหรือเซลล์ติดเชื้อ ผลของการจูบดังกล่าวจะกลายเป็น Kiss of Death โดย NK cells จะส่งสารพิษหลายชนิด เพื่อทำลายเซลล์นั้นทันที
 ปัจจุบันเป็นที่ชัดเจน และยอมรับแพร่หลายว่า NK cells เป็นสิ่งสำคัญ (King Pin) ในระบบภูมิคุ้มกันและมีอิทธิพลครอบงำ การทำงานของภูมิคุ้มกันหลายระบบ ดังนั้นความขยันขันแข็งของNK cells จะมีบทบาทมากมาย เพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ผลสูงสุด และสมดุลอย่างยั่งยืน 

  

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

กรุณาคลิก Sign-In เพื่อเข้าใช้งาน

หน้าหลัก Sign In

<a href="http://www.siammix.net" title="ลงประกาศฟรี" >
<img src="http://www.siammix.net/siammix-ban.gif" border="0" alt="ลงประกาศฟรี" >
</a>